วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 — นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เข้าร่วมการประชุม INTOSAI Working Group on Environmental Auditing (WGEA) Assembly ครั้งที่ 23 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน–4 กรกฎาคม 2568 ณ เมือง Qawra ประเทศมอลตา โดยมีองค์กรตรวจเงินแผ่นดินจากทั่วโลกเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ภายใต้ธีม “Auditing our Blue Planet”
 
ประเด็นสำคัญของการประชุมวันแรก ประกอบด้วย:
1. พิธีเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการ โดยผู้แทนระดับสูงจากองค์กรตรวจเงินแผ่นดินฟินแลนด์ (SAI Finland), องค์กรตรวจเงินแผ่นดินมอลตา (SAI Malta) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของมอลตา พร้อมปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การเสริมสร้างความยืดหยุ่นด้านโครงสร้างพื้นฐานน้ำเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
2. สถานการณ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลระดับโลก และ การจัดการพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเลในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน
3. การจัดการทรัพยากรน้ำดื่ม ภัยแล้ง และการชะล้างพังทลายของหน้าดิน โดยแลกเปลี่ยนบทเรียนจากแอฟริกาและการดำเนินนโยบายระดับชาติ
4. การตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเน้นแนวทางจากองค์กรตรวจเงินแผ่นดินของนิวซีแลนด์ ยุโรป และอเมริกาใต้
 
บทบาทของ สตง.ไทยในฐานะประธานและเลขาธิการ INTOSAI WGEA วาระปี 2568-2574
การประชุมครั้งนี้ สตง.ไทยนำโดยนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่เตรียมรับมอบตำแหน่งประธานและ สตง.ไทยทำหน้าที่เลขาธิการของ INTOSAI WGEA ไปพร้อมกันด้วยนั้น (วาระปี 2568–2574) ได้เตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อมในเวทีสากลโดยมีแนวทางสำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่
1. พัฒนากรอบแนวคิดเรื่อง Green Accountability และ Constructive Environmental Audit เพื่อยกระดับให้การตรวจสอบจากที่เคยชี้ให้เห็นปัญหาไปสู่การสร้างผลกระทบเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมซึ่งเน้นประเด็นหลักสามด้านตามแนวทางสากล คือ Climate, Water, และ Pollutiin
2. เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ กับองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมในเวทีนานาชาติ เช่น UNEP, UNDRR, OECD รวมถึงองค์กรตรวจเงินแผ่นดินในระดับภูมิภาค
3.ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกันผ่านหลักสูตรออนไลน์ (MOOC), Audit Clinic และกิจกรรมเสริมศักยภาพสำหรับองค์กรสมาชิก
4. ผลักดันโครงการเรือธง (Flagship Projects) ได้แก่ Blue Value และ Green Procurement Audit เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการประเมินมูลค่าทรัพยากรธรรมชาติและการใช้จ่ายสาธารณะที่ยั่งยืน
 
ในฐานะองค์กรตรวจเงินแผ่นดินของประเทศ สตง.มุ่งมั่นยกระดับบทบาทการตรวจเงินแผ่นดินสู่เวทีสากล โดยใช้พลังของการตรวจสอบเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม และร่วมเป็นพลังสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกใบนี้
INTOSAI WGEA Daily Digest ประจำวันที่ 1 ก.ค.2568
 
หัวข้อหลัก: Auditing our Blue Planet
Key Highlights:
1. Constitution of the Ocean มีการกล่าวถึงแนวคิดเรื่อง “รัฐธรรมนูญของมหาสมุทร” (Constitution of Ocean) ในฐานะกรอบความคิดใหม่ที่ส่งเสริมให้มหาสมุทรได้รับการปกป้องในฐานะทรัพย์สินธรรมชาติ (Natural Asset) พร้อมกับการเรียกร้องให้ยกระดับ “สิทธิของมหาสมุทร” (Ocean Rights) เพื่อให้มีสถานะทางกฎหมายที่เท่าเทียมกับผลประโยชน์ของมนุษย์
2. วิกฤต Heat Wave ในยุโรป ที่ประชุมกล่าวถึงสถานการณ์คลื่นความร้อน (Heat wave) ที่รุนแรงในยุโรปซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของภูมิภาคนี้ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อวิกฤตภูมิอากาศ
3. การใช้ Environmental Technology (Env Tech) Env Tech ได้ถูกยกให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการ ปรับปรุง (Improve) และ รักษา (Sustain) สิ่งแวดล้อม เน้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น ระบบเซนเซอร์, GIS, AI เพื่อตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมแบบเรียลไทม์
4. การเข้าถึงข้อมูลสิ่งแวดล้อมของประชาชน เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมยังช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น โดยสร้างความโปร่งใสในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และส่งเสริม Public Environmental Awareness
5. Blue Economy: Marine and Water Resources ที่ประชุมให้ความสำคัญกับแนวคิด “เศรษฐกิจสีน้ำเงิน” (Blue Economy) โดยเฉพาะการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและน้ำ เพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่อิงกับระบบนิเวศทะเลโดยไม่ทำลายความสามารถในการฟื้นฟูของธรรมชาติ
6. Non-Revenue Water (NRW) กับการจัดการน้ำยั่งยืน
 
ที่ประชุมกล่าวถึง NRW ว่าเป็นตัวชี้วัดความสูญเสียของระบบประปา และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาน้ำดื่มอย่างยั่งยืน ซึ่งเสนอให้ใช้เทคโนโลยีและการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาดเพื่อลดการสูญเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบน้ำ
สาระสำคัญจาก Mercator Ocean International และ Dr. Robin Degron Mercator Ocean International ทำหน้าที่เป็นศูนย์ข้อมูลและวิเคราะห์มหาสมุทรระดับโลกโดยดำเนินโครงการ Copernicus Marine Service ของสหภาพยุโรป เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับมหาสมุทรที่ครอบคลุม 3 มิติหลัก ได้แก่
1. Blue Ocean – วิเคราะห์ข้อมูลฟิสิกส์ เช่น กระแสน้ำ อุณหภูมิ ความเค็ม
2. White Ocean – ติดตามน้ำแข็งในทะเล 
3. Green Ocean – ตรวจวัดคุณภาพน้ำและชีวภาพ เช่น คลอโรฟิลล์ ออกซิเจน และ CO₂ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เรามองทะเลแบบ"รอบด้าน" และเป็นรากฐานสำคัญในการเฝ้าระวังภาวะโลกร้อน การฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล และการกำหนดนโยบายในยุควิกฤตสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่ Dr. Robin Degron จาก Plan Bleu เน้นย้ำว่า แม้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จะมีมากขึ้น แต่ “ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมทางทะเล” ยังมีช่องว่าง (Governance Gap) โดยเฉพาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะน้ำทะเลอุ่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขยะทะเลสะสมมากขึ้น พื้นที่คุ้มครองทางทะเลยังต่ำกว่ามาตรฐาน และความเหลื่อมล้ำระหว่างฝั่งเหนือ (ยุโรป) กับฝั่งใต้ (แอฟริกาและตะวันออกกลาง) ยังคงรุนแรง
 
Dr. Robin นำเสนอ 10 ดัชนีชี้วัดหลักของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (MSSD Indicators) ที่เชื่อมโยงข้อมูลประชากร การศึกษา รายได้ น้ำสะอาด คุณภาพอากาศ และพลาสติกในทะเล เพื่อประเมินสุขภาพทะเลในเชิงระบบ
ทั้งสองท่านจึงมีจุดร่วมที่สำคัญ: Mercator สร้างเครื่องมือวิเคราะห์ทางทะเลจากข้อมูลจริง และPlan Bleu สร้างกรอบนโยบายเพื่อใช้ข้อมูลเหล่านั้นขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
 
บทเรียนสำคัญสำหรับองค์กรตรวจเงินแผ่นดิน
องค์กรตรวจเงินแผ่นดินสามารถก้าวข้ามบทบาทผู้ตรวจสอบแบบเดิม ไปสู่การเป็น “ผู้ออกแบบระบบตรวจสอบเชิงอนาคต” โดยใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ควบคู่กับการประเมินธรรมาภิบาล เช่น ใช้ข้อมูล Copernicus ประกอบการตรวจสอบทะเลหรือ Climate Audit หรือใช้ตัวชี้วัด MSSD เพื่อวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมบนบกกับสุขภาพของทะเล (Land–Sea Nexus)
 
สรุปสาระสำคัญของการนำเสนอ เรื่อง Joint Cooperative Audit on Marine Protected Areas (MPAs) in the Mediterranean Sea” โดย SAI Cyprus และ SAI Malta:
 
1. ตรวจไปทำไม (Why we did this audit) เพื่อประเมินว่าแต่ละประเทศรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมี กลไกที่เหมาะสมในการกำหนด ดูแล และบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองทางทะเล (MPAs) อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เนื่องจาก MPAs มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล แต่การจัดการยังมีข้อจำกัดหลายด้าน
2. ตรวจอย่างไร (How we did the audit) โครงการนี้เป็นโครงการตรวจสอบร่วม (Cooperative Audit) โดยใช้กรอบการวิเคราะห์ครอบคลุม 5 มิติ กล่าวคือ
(ก) กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
(ข) ยุทธศาสตร์ระดับชาติ
(ค) การประเมินความเสี่ยง
(ง) การบริหารจัดการ (Management Plans)
(จ) การติดตามและประเมินผล (Monitoring)
3. ตรวจแล้วพบอะไร (What we found)
(ก) ยุทธศาสตร์ด้าน MPA ยังไม่ชัดเจน หรือไม่มีเลยในบางประเทศ
(ข) แผนบริหารจัดการ MPA ยังขาดความครอบคลุม และไม่ได้ดำเนินการจริง
(ค) การติดตามและประเมินผล เป็นแบบเฉพาะกิจ ไม่มีระบบที่ต่อเนื่อง
(ง) การประสานงานระหว่างหน่วยงานอ่อนแอ
(จ) ยังไม่มีการออกกฎหมายลูกที่จำเป็น (เช่น Ministerial Decrees) ให้บังคับใช้
4. ตรวจแล้วให้ข้อเสนอแนะอย่างไร (Recommendations)
(ก) จัดทำยุทธศาสตร์เฉพาะด้าน MPA พร้อมกรอบเวลาและตัวชี้วัด
(ข) เสริมศักยภาพหน่วยงานรัฐ ทั้งคน งบ ระบบข้อมูล
(ค) พัฒนาแผนบริหารจัดการ MPAs ให้ครอบคลุมและปฏิบัติได้จริง
(จ) วางระบบติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องโดยใช้แนวทางประเมินความเสี่ยง
(ฉ) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและนักวิชาการ
5.  ตรวจแล้วส่งผลกระทบอย่างไร (Impact)
(ก) ช่วยยกระดับความเข้าใจขององค์กรตรวจเงินแผ่นดินต่อประเด็นสิ่งแวดล้อมทางทะเล
(ข) สร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรตรวจเงินแผ่นดินในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน
(ค) กระตุ้นให้หน่วยงานรัฐของประเทศต่าง ๆ ทบทวนและปรับปรุงระบบการบริหารจัดการ MPAs
(ง)  สตง.มอลตา ทำ Follow-up Audit ในปีถัดมาเพื่อติดตามความคืบหน้า ขณะที่ สตง.ไซปรัส ยังไม่เกิดผลเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายหรือเชิงปฏิบัติชัดเจน
 
แนวทางการประยุกต์ใช้บทเรียนจากเวที INTOSAI WGEA วันที่ 1 ก.ค. 2568 โดย สตง.ไทย
1. เชื่อมข้อมูลวิทยาศาสตร์ทะเลกับ Climate Audit และ Natural Asset Valuation สตง.ไทยสามารถนำ ข้อมูล Copernicus Marine Services ของ EU และกรอบ “Blue–White–Green Ocean” มาใช้เป็นฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ในการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับ Climate Audit ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล โดยการประเมินมูลค่าทรัพยากรน้ำ (Blue Value) เช่น การใช้ข้อมูลอุณหภูมิทะเล ความเค็ม และคุณภาพน้ำในพื้นที่ชายฝั่งไทย เพื่อสนับสนุนผลการตรวจสอบหรือให้ข้อเสนอแนะเชิงเชื่อมโยงระบบนิเวศ
2. พัฒนากรอบตรวจสอบ MPA (Marine Protected Area) ของไทยแบบบูรณาการ กรณีศึกษาของ Cyprus–Malta แสดงให้เห็นว่า MPA ที่มีประสิทธิภาพต้องมีกรอบการตรวจสอบอย่างครอบคลุม 5 ด้าน (กฎหมาย–แผน–ความเสี่ยง–การบริหาร–การติดตาม) ซึ่ง สตง.ไทยสามารถนำมาใช้เพื่อ
(ก) วางแผน Audit MPA ของไทย (เช่น อ่าวพังงา เกาะลิบง เกาะพีพี ฯลฯ)
(ข) เชื่อมโยงการตรวจสอบกับ SDG 14 (Life Below Water)
(ค) สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานอุทยานฯ และชุมชนชายฝั่งในการติดตามผลเชิงพื้นที่
3. เสริมบทบาท SAI ไทยในฐานะ “Data–Governance Integrator” บทเรียนจาก Dr. Robin Degron และ MSSD Indicators ชี้ว่า แม้จะมีข้อมูลมากขึ้น แต่หากขาดระบบธรรมาภิบาลที่เชื่อมโยงข้อมูลกับการจัดการจริง ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ ดังนั้น สตง.ไทยจึงควร
(ก) ริเริ่ม Audit Innovation ที่รวม Data Analytics + Policy Insight
(ช) พัฒนาระบบชี้วัดเชิงพื้นที่ (Spatial Indicators) ที่ประเมินทั้งสิ่งแวดล้อมและสังคม (land–sea nexus)
(ค) ขับเคลื่อน Constructive Audit เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงระบบในการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทย
 
1
1
1
1
1
1
1