นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิรองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงิน แผ่นดิน แถลงว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 15 (จังหวัดสงขลา)
ได้ตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการขุดลอกลำน้ำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของ หน่วยงานในสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้จำนวน 6 โครงการ วงเงิน งบประมาณ 23.07 ล้านบาท
ประกอบด้วย ค่าจัดซื้อน้ำมันดีเซล 557,247 ลิตร จำนวน 17.23 ล้านบาท ค่าเช่าเครื่องจักรรถขุดตักตีนตะขาบ จำนวน 2.48 ล้านบาท ค่าจัดซื้ออะไหล่ซ่อมบำรุง จำนวน 0.77 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่น จำนวน 2.59 ล้านบาท
ผลการตรวจสอบปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีพฤติการณ์อันเป็น การทุจริตต่อหน้าที่ และมีข้อบกพร่องเนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หรือแบบแผนการปฏิบัติของทางราชการ
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เป็นจำนวนเงิน ทั้งสิ้น 18.25 ล้านบาท ทั้งนี้ การตรวจสอบกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่สำนักตรวจเงินแผ่นดินจังหวัดนราธิวาสได้ ตรวจพบความผิดปกติในการจัดซื้อวัสดุเชื้อเพลิงและหล่อลื่น
เพื่อใช้สำหรับโครงการขุดลอกลำน้ำในพื้นที่ จังหวัดภาคใต้จำนวน 133,029 ลิตร งบประมาณ 3.99 ล้านบาท โดยพบว่ามีการนำน้ำมันออกจากคลังโดย ปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ขอเบิกและผู้รับน้ำมัน จำนวน 100,000 ลิตร
และยังปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีน้ำมัน สูญหายไปจากคลังน้ำมันอีก 14,000 ลิตร
จึงได้ส่งเรื่องให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 15 (จังหวัด สงขลา) เพื่อตรวจสอบกรณีพิเศษตามระเบียบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินว่าด้วยการตรวจสอบกรณีพิเศษ และการเสนอเรื่องความผิดวินัยทางงบประมาณและ
การคลังของรัฐ พ.ศ. 2562 โดยสรุปผลการตรวจสอบได้ดังนี้ 1. การจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่นสูงกว่าความต้องการใช้จริง โดยระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนธันวาคม 2564 มีการจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงรวมจำนวน 242,038 ลิตร
และมีการเบิกน้ำมันเพื่อนำไปใช้ ในการปฏิบัติงานครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565 จำนวน 19,054 ลิตร แต่จากการตรวจสอบสังเกตการณ์ คลังน้ำมัน ณ วันที่ 24 มกราคม 2565 พบว่ามีจำนวนน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในคลังเพียง 32,350 ลิตรซึ่ง น้อยกว่าความเป็นจริงถึง 190,634 ลิตร จึงน่าเชื่อว่าได้มีการนำน้ำมันเชื้อเพลิงออกจากคลังโดยมิชอบ ต่อมาหน่วยงานดังกล่าวได้มีการจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและมีการทยอยส่งมอบอย่างต่อเนื่องจนถึง เดือนมิถุนายน 2565 รวมจำนวนทั้งสิ้น 557,247 ลิตรและจากการตรวจสอบบัญชีการเบิกและใช้น้ำมัน เชื้อเพลิงของโครงการดังกล่าว ปรากฏว่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 ได้มีการขนย้ายน้ำมันเชื้อเพลิงออกไป จากคลังเพื่อใช้ในการขุดลอกลำน้ำทั้งหมด 557,247 ลิตรโดยมีการบันทึกว่าได้เบิกน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งจำนวน ให้กับเครื่องจักรถากถาง รถขุดตัก เครื่องจักรที่เช่ามาจากเอกชน และรถบรรทุกขนย้ายดินเพื่อใช้ในการ ปฏิบัติงานขุดลอกลำน้ำ แต่จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าไม่มีการนำเครื่องจักรถากถาง เครื่องจักร ที่เช่ามาจากเอกชน และรถบรรทุกขนย้ายดินมาใช้ในการปฏิบัติงาน และสามารถคำนวณจำนวนน้ำมัน เชื้อเพลิงที่ใช้ในการปฏิบัติงานขุดลอกลำน้ำทั้ง 6 โครงการ รวมกันเป็นจำนวนเพียง 102,680 ลิตร
ซึ่งจะเห็น ได้ว่าเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดซื้อในรอบแรก จำนวน 242,038 ลิตร ก็เพียงพอสำหรับใช้ในโครงการขุดลอกลำน้ำ ทั้ง 6 โครงการแล้วพฤติการณ์จึงน่าเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีเจตนาร่วมกันจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง
มาก 2 เกินกว่าความจำเป็นต้องใช้จริง จำนวนถึง 454,567 ลิตร และมีเจตนาที่จะนำน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวน ดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือผู้อื่น เข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด
เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และเป็น เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ
หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา 2. การเบิกน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่นไม่เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ จากการตรวจสอบการเบิกน้ำมันเชื้อเพลิงของ
โครงการขุดลอกลำน้ำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ปรากฏ หลักฐานการขอเบิกน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปใช้ในโครงการดังกล่าว ระหว่างวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ถึง วันที่ 24 มกราคม 2565 จำนวน 12 ครั้ง รวมจำนวน 200,000 ลิตร
โดยมีการปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ที่ ขอเบิกน้ำมันเชื้อเพลิง และมีการลงนามอนุมัติและสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ในขณะที่ผู้ที่ถูกปลอมลายมือชื่อได้ให้ ถ้อยคำปฏิเสธว่าไม่ได้เบิกน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว
พร้อมให้ข้อมูลว่าตนได้เริ่มเบิกน้ำมันเชื้อเพลิงและให้ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติงานน้ำขนย้ายเครื่องจักรเข้าไปดำเนินการขุดลอกลำน้ำเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2565 เป็นต้นมา โดยใช้เครื่องจักรของทางราชการ ไม่มีการเช่าเครื่องจักรมาใช้แต่อย่างใดและใช้น้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ปรากฏใน บัญชีควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2565 รวมทั้งสิ้น 19,054 ลิตร จึงเห็นได้ว่า จำนวนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เบิกจ่ายไปกับจำนวนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในการปฏิบัติงานจริงไม่สอดคล้องกัน จากการตรวจสอบยังได้ปรากฏพยานหลักฐานว่า หน่วยงานดังกล่าวได้เริ่มขนย้ายเครื่องจักรเข้ามา ปฏิบัติงานในพื้นที่เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565 ปฏิบัติงานแล้วเสร็จและเคลื่อนย้ายเครื่องจักรออกจากพื้นที่
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ซึ่งเมื่อคำนวณระยะเวลาการปฏิบัติงานในพื้นที่ และอัตราสิ้นเปลืองต่อวันของน้ำมัน เชื้อเพลิงสำหรับรถขุดตัก รวมถึงรถประเภทอื่นที่ใช้ในการปฏิบัติงาน คิดเป็นจำนวนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในการ ปฏิบัติงานทั้งสิ้น 102,680 ลิตร
ในขณะที่มีการการจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและเบิกจากคลังเป็นจำนวนทั้งสิ้น 557,247 ลิตร จึงเห็นได้ว่ามีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ได้นำมาใช้กับรถราชการหรือเครื่องจักร หรือสูญหายเป็น จำนวนประมาณ 454,567 ลิตร
การเบิกจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบ แบบแผนของทางราชการ นอกจากนี้สตภ.15 ยังตรวจพบความผิดปกติอื่น ๆ เช่น การดำเนินการขุดลอกลำน้ำทั้ง 6 โครงการดังกล่าว
เป็นการขุดลอกคลองส่งน้ำเดิมที่หน่วยงานอื่นได้ขุดลอกไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งยังไม่มีการขุดขยาย ความกว้างและความลึกของลำน้ำทั้ง 6 โครงการดังกล่าวตามประมาณการของโครงการ เช่น มีการประมาณ การความลึกก่อนขุดไว้ที่ 1-1.5 เมตรและความลึกภายหลังขุดลอกแล้วเสร็จอยู่ที่ระดับ 3 เมตร ในขณะที่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าลำน้ำเดิมก่อนการขุดมีระดับความลึกอยู่ที่ 2.5 เมตร ฯลฯ ทำให้ปริมาณดินที่ขุดจริงต่ำกว่า ที่ประมาณการไว้รวมถึงกรณีการขนย้ายน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งตามประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กำหนด คุณลักษณะและระบบการทำงานของเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ สำหรับรถที่ใช้ในการขนส่งวัตถุ อันตราย พ.ศ. 2555 กำหนดให้รถบรรทุกน้ำมันต้องติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (GPS) ไว้แต่ หน่วยงานดังกล่าวได้ยกเลิกการติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ จึงน่าเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้ดำเนินการหรือมีส่วนรู้เห็นในการขนย้ายน้ำมันเชื้อเพลิงออกไปจากคลังน้ำมัน
โดยมิชอบ พฤติการณ์เข้าข่าย เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ
หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวล กฎหมายอาญา 3 3. การเช่าเครื่องจักรขุดตักและการจัดซื้ออะไหล่ซ่อมเครื่องจักรเป็นเท็จ
จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้มีการอนุมัติให้เช่าเครื่องจักรรถขุดตีนตะขาบ โดยมีการลงนามในใบสั่งเช่าเครื่องจักร จำนวน 6 โครงการ โครงการละ 5 คัน อัตราเช่าคันละ 5,000 บาท/วัน พร้อมอนุมัติการเบิกจ่ายเงิน
และได้มีการจัดทำรายงานตรวจรับการเช่า แต่มิได้มีการส่งมอบเครื่องจักรที่เช่า กันจริง ก่อให้เกิดความเสียหายรวมเป็นเงินประมาณ 2.48 ล้านบาท อีกทั้งยังมีการจัดซื้ออะไหล่ซ่อมเครื่องจักร จำนวน 6 โครงการ โดยแยกจัดซื้อเป็นรายโครงการรวมจำนวนใบสั่งซื้อ 13 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 737,691.- บาท โดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้จัดทำเอกสารรายงานผลการตรวจรับว่ามีการส่งมอบอะไหล่ แต่มิได้มีการส่งมอบอะไหล่กันจริง พร้อมปรากฏหลักฐานว่าร้านจำหน่ายอะไหล่ได้คืนเงินค่าจัดซื้อตามใบสั่งซื้อ ทั้ง 13 ฉบับดังกล่าว ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเป็นเงินทั้งสิ้น 677,336.- บาท พฤติการณ์จึงเข้าข่ายเป็น ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น
มุ่งพิสูจน์ความเป็นจริงอันเป็น ความเท็จ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่ง ผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
โฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้พิจารณาเอกสารหลักฐาน และพยานบุคคลแล้วมีความเห็นว่ากรณีดังกล่าวมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการใช้จ่ายเงินแผ่นดินมีพฤติการณ์
อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ และมีข้อบกพร่องเนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หรือแบบแผนการปฏิบัติของทางราชการ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ จึงได้มีหนังสือแจ้ง
หัวหน้าหน่วยงานเพื่อดำเนินการควบคุมหรือกำกับมิให้เกิดข้อบกพร่องขึ้นอีก พร้อมดำเนินการทางวินัยอย่าง ร้ายแรงกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการเรียกให้มีการชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐ จำนวน 18.25 ล้านบาท
ประกอบด้วย ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีการจัดซื้อและเบิกจากคลังโดยมิชอบ ค่าเช่าเครื่องจักรและค่าจัดซื้ออะไหล่ ซ่อมเครื่องจักรเป็นเท็จ และแจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อดำเนินการตาม
หน้าที่และอำนาจกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยล่าสุดอยู่ในขั้นตอนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ หน่วยงานดังกล่าวได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการทางวินัย และ
คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้นเพื่อชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐเรียบร้อยแล้ว และ สตภ.15 จะได้ติดตาม ผลการดำเนินการกรณีดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นการขอรับงบประมาณ
ในลักษณะงานที่ดำเนินการเอง ซึ่งมี ข้อบกพร่องสำคัญในขั้นตอนการประมาณราคา สตภ.15 จึงได้ตรวจสอบการประมาณราคาในภาพรวมเพื่อ ขอรับงบประมาณขุดลอกลำน้ำของหน่วยงานดังกล่าว
ปีงบประมาณ 2567 พบว่า มีการประมาณราคาขุดลอก ที่สูงกว่าความเป็นจริง
จึงได้แจ้งให้มีการสำรวจและแก้ไขการประมาณราคา ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวได้ทบทวน และแก้ไขการประมาณราคาให้ใกล้เคียงความเป็นจริง ทำให้จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นจากประมาณ 300 โครงการ
เป็นประมาณ 800 โครงการ ภายใต้วงเงินงบประมาณเท่าเดิม
สตง. เผยพฤติการณ์น่าเชื่อว่าทุจริตโครงการขุดลอกลำน้ำของหน่วยงานในสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย พบน้ำมันเชื้อเพลิงสูญหายกว่า 450,000 ลิตร รวมถึงการดำเนินการโดยมิชอบด้วยกฎหมายอีกหลายกรณี
Date 18 ตุลาคม 2567
แหล่งที่มา สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
Attach file


