นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน แถลงว่า ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อออนไลน์เมื่อเร็ว ๆ นี้ เกี่ยวกับปัญหาโครงการก่อสร้างตลาดเกษตรอินทรีย์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งหนึ่ง โดยระบุว่าไม่ได้มีการขออนุญาตก่อสร้างและภายหลังก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2565 ได้มีการแปลงโครงการเป็นอาคารศูนย์เรียนรู้ชุมชน จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการใช้ประโยชน์นั้น จากการตรวจสอบตามแผนการปฏิบัติงานประจำปี 2566 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พบว่า โครงการตลาดเกษตรอินทรีย์ดังกล่าวดำเนินการก่อสร้างโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าและกระจายสินค้าเกษตรคุณภาพ สร้างทักษะการเรียนรู้ด้านการตลาดให้แก่นักเรียน เกษตรกร และประชาชนในชุมชน ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จากรายจ่ายหมวดงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินตามสัญญา 11.81 ล้านบาท ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และตรวจรับงานจ้างเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2565 โดยสรุปประเด็นข้อตรวจพบที่สำคัญดังนี้
2. ไม่มีการใช้ประโยชน์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งโครงการ จากการตรวจสอบสิ่งปลูกสร้างภายในโครงการ ปรากฏรายการตามทะเบียนทรัพย์สิน จำนวน 9 รายการ เช่น อาคารตลาดชุมชน จำนวน 4 หลัง ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์และเกษตรทฤษฎีใหม่ จำนวน 1 หลัง บูธสำหรับจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน จำนวน 10 บูธ ฯลฯ พบว่ายังไม่มีการเปิดใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ภายหลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จ ส่งผลให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ ขาดรายได้จากการเก็บค่าเช่าพื้นที่ในการจำหน่ายสินค้า ไม่ได้เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและประชาชนในชุมชน และไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจภายในจังหวัด อีกทั้งยังทำให้สูญเสียพื้นที่สีเขียวอ่อนในชุมชนที่ควรจะเป็นการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อการใช้ประโยชน์ด้านการนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
3. การดำเนินโครงการล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา หน่วยงานที่รับผิดชอบได้ทำสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 มีระยะเวลาดำเนินการก่อสร้าง 120 วัน โดยตามสัญญาข้อตกลงให้ผู้รับจ้างเริ่มทำงานภายในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 และต้องทำงานให้แล้วเสร็จตามสัญญาภายในวันที่ 23 มีนาคม 2565 แต่จากการตรวจสอบพบว่า ผู้รับจ้างได้ส่งมอบงานงวดที่ 1 และงวดที่ 2 ในวันที่ 22 เมษายน 2565 ส่งมอบงานงวดที่ 3 และงวดที่ 4 (งวดสุดท้าย) ในวันที่ 14 กันยายน 2565 โดยการส่งมอบงานทั้งสองครั้งของผู้รับจ้าง เป็นการส่งมอบงานหลังจากที่ครบระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญา (วันที่ 23 มีนาคม 2565) ล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา เป็นเวลา 175 วัน นับระยะเวลาตั้งแต่วันที่สิ้นสุดสัญญาจนถึงวันที่ส่งมอบงานงวดสุดท้าย ซึ่งหากการดำเนินโครงการดังกล่าวไม่มีปัญหาอุปสรรคอื่นที่ทำให้ไม่สามารถเปิดใช้งานได้นั้น การดำเนินโครงการที่ล่าช้าย่อมส่งผลให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จาก สิ่งปลูกสร้างได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
4. สิ่งปลูกสร้างในโครงการมีความชำรุดบกพร่อง การจ้างก่อสร้างโครงการดังกล่าวมีการรับประกันความชำรุดบกพร่อง 2 ปี นับแต่วันที่ผู้รับจ้างส่งมอบงาน ซึ่งผู้รับจ้างส่งมอบงานงวดสุดท้ายวันที่ 14 กันยายน 2565 และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้ทำการตรวจรับความถูกต้องครบถ้วนของงานก่อสร้าง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565 โดยมีความเห็นว่าผู้รับจ้างได้ปฏิบัติงานครบถ้วนถูกต้องตามสัญญาแล้ว แต่จากการเข้าตรวจสอบสอบสังเกตการณ์ ณ สถานที่ดำเนินโครงการ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเจ้าของโครงการ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566 พบว่า สิ่งก่อสร้างตามโครงการมีความชำรุดบกพร่องหลายรายการ อาทิ แผงขายของในอาคารตลาดมีรอยแตกร้าว ลานคอนกรีตมีรอยแตกร้าว ท่อที่ต่อจากถังเก็บน้ำมีน้ำรั่วซึม ฯลฯ ซึ่งในขณะที่ สตง. เข้าตรวจสอบ หน่วยงานเจ้าของโครงการยังไม่ได้มอบหมายหรือแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รับผิดชอบดูแลบำรุงรักษาและตรวจสอบความชำรุดบกพร่องของสิ่งปลูกสร้างในโครงการดังกล่าว รวมถึงยังไม่ได้ดำเนินการแจ้งให้ผู้รับจ้างเข้ามาดำเนินการแก้ไขหรือซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างในโครงการเพื่อให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ปกติ และหากความชำรุดบกพร่องของพัสดุที่ตรวจพบไม่ได้รับการแก้ไขซ่อมแซมอย่างทันท่วงที อาจทำให้มีความชำรุดบกพร่องมากขึ้น รวมถึงอาจเกิดความไม่ปลอดภัยและเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่มาใช้ประโยชน์ได้
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า จากผลการตรวจสอบข้างต้น สตง. จึงมีความเห็นและข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานรับผิดชอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ให้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเสนอโครงการต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญกับการวางแผน การวิเคราะห์โครงการ การศึกษาความพร้อมและความเป็นไปได้ของโครงการ รวมทั้งแนวทางในการบริหารและการจัดการโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ในกรณีที่ไม่ดำเนินการตามขั้นตอนหรือกระบวนการที่กฎหมายหรือระเบียบกำหนดให้ต้องดำเนินการก่อนการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถเปิดใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการและทำให้เกิดความเสียหายกับทางราชการ สั่งการให้มีการชดใช้ค่าความเสียหายที่ไม่สามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของโครงการได้ รวมถึงให้มีการชดใช้เงินค่าความเสียหายในการรื้อถอน สิ่งปลูกสร้างที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของผังเมืองรวมพื้นที่สีเขียวอ่อนจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ฯลฯ