นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน แถลงว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยสำนักตรวจเงินแผ่นดินจังหวัดอุดรธานีได้เข้าตรวจสอบการดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพสู่ความเข้มแข็งและสร้างรายได้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นด้วยเศรษฐกิจ BCG ของหน่วยงานแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยที่มาของการตรวจสอบครั้งนี้มาจากจากกรณีประธานสภาผู้แทนราษฎรได้มีหนังสือถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินส่งเรื่องตามข้อปรึกษาหารือจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยขอให้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณงบกลางสำหรับโครงการดังกล่าว ซึ่งหน่วยงานได้เสนอโครงการเพื่อของบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี วงเงินจำนวน 1,790 ล้านบาท โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินจำนวน 503.27 ล้านบาท กำหนดพื้นที่เป้าหมาย 10 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี เลย นครพนม สกลนคร นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ ศรีษะเกษ อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ โดยคัดเลือกกลุ่มอาชีพหรือกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) จำนวน 2,400 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน รวมจำนวน 24,000 คน มีกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตรและอบรมพัฒนาทักษะอาชีพ รวมจำนวน 6 หลักสูตร ประกอบด้วย
หมายเหตุ : * สุ่มตรวจสอบ หลักสูตรที่มีวงเงินดำเนินการสูงสุด จำนวน 2 หลักสูตร (หลักสูตรที่ 1, 5) จากจำนวนทั้งหมด 6 หลักสูตร
โดยมีการจัดทำแผนการดำเนินงานโครงการ ระยะเวลา 6 เดือน (เมษายน ถึง กันยายน2566) และเบิกจ่ายงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการโครงการ จำนวน 450.88 ล้านบาท คงเหลือ 52.39 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2566) แต่จากการสุ่มตรวจสอบการดำเนินโครงการฯ การจัดซื้อวัสดุและอุปกรณ์ให้กลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) กลุ่มอาชีพในชุมชน จำนวน 2 หลักสูตร คือการผลิตอาหารสัตว์เคี้ยวเอื้องจากวัตถุดิบในท้องถิ่น และ ระบบการปลูกพืชมูลค่าสูงแบบปลอดภัยในโรงเรือนอัจฉริยะ และตรวจสอบสังเกตการณ์ ณ พื้นที่เป้าหมาย จำนวน 5 จังหวัด พบข้อบกพร่องที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ จำนวน 6 ประเด็น ดังนี้
1. ไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการหรือมอบหมายเจ้าหน้าที่หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งรับผิดชอบจัดทำร่างขอบเขตงานหรือรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุที่จัดซื้อ ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 21 ทำให้ทางราชการมีความเสี่ยงหรืออาจได้รับความเสียหายเนื่องจากไม่มีคณะกรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการตจัดทำร่างขอบเขตงานหรือรายละเอียดพัสดุอย่างชัดเจน เพื่อให้ได้พัสดุเป็นไปตามความต้องการหรือวัตถุประสงค์และมีความถูกต้อง และยังเป็นผลต่อเนื่องทำให้ขั้นตอนการกำหนดราคากลาง การจัดทำใบสั่งซื้อ และการตรวจรับพัสดุเกิดข้อบกพร่อง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
2. การกำหนดราคากลางไม่ถูกต้อง สูงกว่าราคากลางที่ควรจะเป็น/ราคาที่เหมาะสม จากการตรวจสอบพบว่าไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการหรือมอบหมายเจ้าหน้าที่หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งดำเนินการหรือจัดทำเพื่อให้ได้มาซึ่งราคากลางตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งไม่มีการอ้างอิงที่มาซึ่งสอดคล้องหรือเป็นไปตามรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุที่กำหนดไว้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ทำให้ราคากลางที่กำหนดไม่ถูกต้อง สูงกว่าราคากลางที่ควรจะเป็น/ราคาที่เหมาะสม โดยจากการสุ่มตรวจสอบพบว่าราคากลางสูงกว่าราคากลางที่ควรจะเป็น/ราคาที่เหมาะสม และมีการเบิกจ่ายตามใบสั่งซื้อซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ดังนี้
3. วิธีการจัดซื้อจัดจ้างอาจเข้าข่ายเป็นการไม่เป็นไปตามระเบียบฯ โดยการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ทั้งหมดแยกดำเนินการโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ในวงเงินคราวละไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งรายการพัสดุที่จัดซื้อส่วนใหญ่เป็นพัสดุชนิด/ประเภทเดียวกันจากผู้ขายรายเดียวกัน และดำเนินการจัดซื้อในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน ประกอบโครงการดังกล่าวได้รับจัดสรรเงินงบประมาณในครั้งเดียวกัน นอกจากนี้ยังพบข้อเท็จจริงว่าผู้ขายส่งมอบในวันเดียวกันหลายเขตพื้นที่ เช่น กรณีการจัดซื้อเครื่องสับย่อยและบด จำนวน 800 เครื่อง จัดทำใบสั่งซื้อรวม 52 ใบสั่งซื้อ จากผู้ขายรายเดียวกัน รวมเบิกจ่ายเงินเป็นจำนวน 15.98 ล้านบาท ซึ่งการแยกดำเนินการดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการแบ่งซื้อหรือแบ่งจ้างโดยลดวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างในคราวเดียวกันเพื่อให้วิธีการซื้อหรือจ้างหรืออำนาจในการสั่งซื้อสั่งจ้างเปลี่ยนแปลงไป เป็นการปฏิบัติไม่เป็นไปตามข้อ 20 ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยเคร่งครัด
4. การจัดทำเอกสารสัญญาหรือข้อตกลง (ใบสั่งซื้อ) ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงหรือขอบข่ายแห่งวัตถุประสงค์และไม่มีการกำหนดเงื่อนไขการรับประกันความชำรุดบกพร่อง จากการตรวจสอบพบว่าเอกสารสัญญาหรือข้อตกลง (ใบสั่งซื้อ) ในการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ของโครงการทั้งหมด ระบุสถานที่ส่งมอบ ณ สถานที่ของหน่วยงานเจ้าของโครงการ ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามที่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุชี้แจงว่า ในการดำเนินโครงการกำหนดให้ผู้ขายส่งมอบพัสดุ ณ พื้นที่ของกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายโดยตรง รวมถึงไม่มีการกำหนดเงื่อนไขการรับประกันความชำรุดบกพร่องของพัสดุที่จัดซื้อในสัญญาหรือข้อตกลง ในกรณีที่ปรากฏความชำรุดบกพร่องของพัสดุที่ส่งมอบตามสัญญาหรือข้อตกลง เพื่อแจ้งให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างดำเนินการแก้ไขหรือซ่อมแซม เป็นการปฏิบัติไม่เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 165 และที่เกี่ยวข้อง และมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยเคร่งครัด
5. การตรวจรับพัสดุไม่เป็นไปตามระเบียบฯ หนังสือสั่งการกำหนด และข้อกำหนดสัญญา (ใบสั่งซื้อ) จากการสุ่มตรวจสอบสังเกตการณ์การส่งมอบพัสดุในพื้นที่จริง ณ สถานที่ดำเนินโครงการของกลุ่มวิสาหกิจฯ จำนวน 5 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี เลย สกลนคร นครราชสีมา และขอนแก่น รวมจำนวน 42 กลุ่ม
ตามรายละเอียดคุณลักษณะวัสดุอุปกรณ์ที่จัดซื้อและใบสั่งซื้อของพัสดุจำนวน 4 รายการ พบว่าการตรวจรับพัสดุไม่ถูกต้องและไม่ครบถ้วนตามรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะที่กำหนด/ข้อตกลง (ใบสั่งซื้อ) แต่ได้มีการเบิกจ่ายเงินให้กับผู้รับจ้างทั้งหมดแล้ว ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ดังนี้
นอกจากนี้ยังพบว่าคณะกรรมการตรวจรับพัสดุไม่ได้ตรวจรับพัสดุ ณ สถานที่ซึ่งกำหนดไว้ในข้อตกลง (ใบสั่งซื้อ) กล่าวคือ มีทั้งการตรวจรับ ณ สถานที่ส่งมอบ และการตรวจรับออนไลน์ โดยใช้การพูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถือและการถ่ายภาพเพื่อยืนยัน ซึ่งเป็นการปฏิบัติไม่เป็นไปตามข้อ 175 ข้อ 165 และ ข้อ 203 ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และมาตรา 97 พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 หนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 279 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 เรื่อง แนวทางการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อดำเนินการกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ และมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยเคร่งครัด
6. ไม่มีการติดตั้งพัสดุที่ได้รับมอบหรือยังไม่มีการเปิดใช้งานพัสดุ อาจส่งผลให้การดำเนินโครงการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้กำหนดไว้ จากการตรวจสอบสังเกตการณ์สถานที่ส่งมอบพัสดุในพื้นที่จริง ณ สถานที่ดำเนินโครงการของกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) /กลุ่มอาชีพในชุมชน พบว่ากลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) /กลุ่มอาชีพในชุมชน ส่วนใหญ่ยังไม่มีการติดตั้งพัสดุที่ได้รับมอบหรือยังไม่มีการเปิดใช้งานพัสดุตั้งแต่วันที่ได้รับมอบ จึงไม่มีการใช้ประโยชน์จากพัสดุที่ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงการตามที่ได้กำหนดไว้ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีการใช้และการบริหารพัสดุที่เหมาะสม คุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานของรัฐ กรณีจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 112 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 44 และมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยเคร่งครัด
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ผลการตรวจสอบโครงการดังกล่าว พบความบกพร่องในการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และแบบแผนการปฏิบัติราชการ และก่อให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนเงินสูงถึง 102.06 ล้านบาท ซึ่งในระหว่างการตรวจสอบ สตง. ได้ให้คำแนะนำกรณีข้อบกพร่องอันมิใช่สาระสำคัญหรือข้อบกพร่องที่ไม่เกิดความเสียหายเพื่อให้มีการแก้ไขให้ถูกต้องและป้องกันไม่ให้เกิดข้อบกพร่องลักษณะดังกล่าวอีกในโอกาสต่อไป และหน่วยรับตรวจได้ยอมรับเกี่ยวกับข้อผิดพลาดหรือความบกพร่องทั้งหมดตามผลการตรวจสอบ และได้ดำเนินการเรียกคืนเงินจากผู้ขายส่งคืนคลังแล้ว เป็นเงินจำนวน 5 ล้านบาท อีกทั้งยังได้มีการแจ้งติดตามเร่งรัดเรียกเงินคืนจากผู้ขายและแจ้งให้ดำเนินการส่งมอบพัสดุให้ถูกต้องครบถ้วนเพิ่มเติมเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สตง. ได้มีข้อเสนอแนะให้หน่วยรับตรวจดำเนินการเพื่อชดใช้ความเสียหาย รวมทั้งการแก้ไขข้อบกพร่องและการเยียวยาหรือป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมในส่วนที่ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถดำเนินการได้
สำหรับกรณีการส่งมอบพัสดุที่ผู้ขายยังส่งมอบพัสดุไม่ครบถ้วน แต่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้ ทำการตรวจรับพัสดุและทำใบตรวจรับการจัดซื้อโดยรับรองผลการตรวจรับว่าผู้ขายได้ส่งมอบพัสดุถูกต้องครบถ้วนและได้มีการเบิกจ่ายเงินให้กับผู้ขายไปทั้งหมดแล้วนั้น พฤติการณ์เป็นการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 ซึ่งเป็นกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการใช้จ่ายเงินแผ่นดินมีพฤติการณ์จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อกฎหมายและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป